คอมพิวเตอร์แบบมียี่ห้อที่นิยมขายเป็นชุด (Computer Set)
เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวก ไม่ต้องมาจุกจิกกนใจในการเลือกซื้อชิ้นส่วนอุปกรณ์มากนักโดยทั่วไปเวลาไปซื้อคอมพิวเตอร์แบบนี้ จะมีรายละเอียด (Spec) ของเครื่องอย่างคร่าวๆให้ดู คอมพิวเตอร์ยี่ห้อต่างๆที่มีวางขายอยู่ทั่วไปในบ้านเรา เช่น ยีห้อ Acer, HP, Lenovo, SVOA, VZiO, Supreme, SPIRIT และ ITRON เป็นต้น
ข้อดี
* มีบริการหลังการขายที่ดี เมื่อเครื่องเสียหรือมีปัญหาสามารถส่งซ่อมได้ทันที ช่างจะแก้ไขให้เสร็จสรรพหรือ
เครมอุปกรณ์ที่เสียให้ทันที
* ปัจจุบันส่วนใหญ่ มักแถมซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องมาให้ด้วย
* มีระบบเงินผ่อน
* ไม่ต้องเดินเลือกซื้อหาอุปกรณ์เองให้เสียเวลา
ข้อเสีย
* ไม่สามารถปรับเปลี่ยนหรือเลือกซื้อชิ้นส่วนอุปกรณ์ตามใจเองได้
* ราคาจะค่อนข้างแพงกว่าเลือกซื้อชิ้นส่วนมาจ้างหรือประกอบเองเล็กน้อย
คอมพิวเตอร์แบบเลือกซื้อชิ้นส่วนเพื่อนำมาจ้างหรือประกอบเอง
คอมพิวเตอร์แบบนี้เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความพิถีพิถันในการเลือกชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่จะนำมาประกอบเป็นตัวเครื่องทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้ได้เครื่องที่สเป็คตรงตามความพอใจของเรามากที่สุด ซึ่งในการเสือกซื้อนั้นอันที่จริงผู้ใช้ควรจะต้องมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับเรื่องของชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อยู่บ้าง แต่เดี๋ยวนี้ถึงแม้ไม่ชำนาญแทบทุกร้านก็มีบริการเลือกและจัดชุดคอมพิวเตอร์ให้เสร็จสรรพเรียบร้อย
ข้อดี
* สามารถเลือกซื้อชิ้นส่วนแต่ละชิ้นได้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะทำให้เราสามรถเปรียบเทียบราคาในแต่ละร้าน พร้อมทั้งเลือกหาอุปกรณ์ที่เราคิดว่าเหมาะสมที่สุดได้
* ราคาจะค่อนข้างถูกกว่าคอมพิวเตอร์แบบมียี่ห้อ
ข้อเสีย
* ผู้ซื้อต้องมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับเรื่องของชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อยู่พอสมควร โปรแกรมทั้งหมดจะต้องหามาติดตั้งเอง ส่วนบางร้านที่ติดตั้งให้เสร็จสรรพ ซอฟต์แวร์นั้นอาจไม่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง
* ต้องใช้เวลาในการเดินเลือกซื้อหาอุปกรณ์ และเปรียบเทียบราคา
* เมื่ออุปกรณ์ตัวใดเกิดเสียหรือชำรุด ถ้ายังอยู่ในระยะเวลาประกัน เราจะต้องนำอุปกรณ์ตัวนั้นไปเครมที่บริษัทตัวแทนจำหน่ายเอง
เลือกซื้อซีพียู (CPU)
เลือก Intelหรือ AMD
ก่อนที่จะเลือกรุ่นของซีพียู สิงแรกที่เราต้องเลือกก็คือ Intel หรือ AMD ดี ซึ่งเป็นอันดับแรกที่จะต้องตัดสินใจก่อนที่จะเลือกองค์ประกอบอื่นๆ ต่อไป ชื่อเสียงของ Intel คงเส้นคงวามาตลอด แต่ก็ถูก AMD แซงไปในช่วงของ 64 บิต และDual Core ที่ AMD ออก Athlon 64x32 มาก่อน ซึ่งเป็นซีพียูที่มีประสิทธิภาพดีและไม่มีปัญหาเรื่องความร้อน แต่อย่างไรก็ตาม มาถึงวันนี้ที่ Intel ออก Core 2 Duo มาก็ทำให้สถานการณ์พลิกกลับไปเป็นว่าซีพียูของ Intel มีความเร็วสูงสุดในการประมวลผลแทบทุกอย่าง ซึ่งในสุด AMD ก็ยังคงใช้กลยุทธ์ของการตัดราคาเพื่อให้ซีพียูของ AMD มีราคาต่อประสิทธิภาพ (price/performance) ต่ำที่สุด
สรุปง่ายๆ ก็คือ ให้เลือก AMD ถ้าต้องการประสิทธิภาพที่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป และเลือก Intel ถ้าสนใจเรื่องยี่ห้อหรือไม่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพใดๆ (ต้องการเครื่องระดับต้นๆซึ่งราคาอาจจะพอๆกัน)
ซีพียูจาก Intel
ปัจจุบัน Intel ถือได้ว่าเป็นบริษัทผู้ผลิตซีพียูสำหรับเครื่องพีซีรายใหญ่ที่สุดของโลก และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากที่สุด ซึ่งถ้าพูดถึงซีพียูในยุคปัจจุบันคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าไม่รู้จักซีพียูในตระกูล Pentium และ Celeron ของ Intel อย่างแน่นอน ในการพิจารณาเลือกซื้อซีพียูนั้น เมื่อเลือกยี่ห้อได้แล้วก็ต้องมมองกันที่ปัจจัยในหลายๆด้าน ที่จะนำมาซึ่งความมีประสิทธิภาพของซีพรยูนั่นก็คือ ความเร็ว ซึ่งไมอาจจะดูกันที่กิกะเฮิร์ตซ์เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป เพราะปัจจุบันเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาของ Muil Core กันแล้วโดย Intel ได้ออกซีพียูแบบ 2 และ 4 Core ออกมาหลายรุ่น ซึ่งก่อให้เกิดประเด็นในการเลือกซื้อขึ้นมาใหม่
ซีพียูจาก AMD
การเลือกรุ่นซีพียูของ AMD ก็ทำได้ง่ายๆโดยดูที่ตัวเลข Model ของรุ่นเท่านั้นก็เปรียบเทียบประสิทธิภาพกันได้แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องสนใจว่าเป็น Sempron หรือ Athlon แต่ชื่อรุ่นเหล่านี้ก็ช่วยในการเลือกในภาพรวมๆได้เป็นอย่างดีก็คือ ถ้าต้องการเครื่องราคาประหยัดก็ใช้ Sempron ถ้าต้องการประสิทธิภาพปานกลางก็เลือก Athlon 64 และถ้าต้องการประสิทธิภาพสูงสุดให้เลือก Athlon64x2 หรือ Athlon 64 FX
ซื้อซีพียูแบบ Tray กับแบบ Box อย่างไหนดีกว่ากัน
แบบ Tray เป็นซีพียู หรือชิ้นส่วนที่ถูกนำเข้ามาโดยปราศจากกล่องหรือบรรจุภัณฑ์ห่อหุ้ม ซึ่งมักจะถูกสั่งนำเข้ามาครั้งละจำนวนมากๆ โดยผู้ค้าปลีกหรือผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์แบบมียี่ห้อที่ประกอบเสร็จภายในประเทศ ซึ่งทำให้มีราคาต่ำกว่า ปัจจุบันซีพียูแบบ Tray จะพบได้น้อยลง โดยเฉพาะซีพียูรุ่นใหม่ๆที่มะจาก Intel เนื่องจากส่วนใหญ่ต้องใช้กับพัดลมระบายความร้อนซีพียูที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ ซึ่งจะให้มาพร้อมกับซีพียูโดยบรรจุเอาไว้อยู่ภายในกล่องอย่างครบถ้วน
ข้อดี
* ราคาถูกกว่าแบบ Box ประมาณ 400-600 บาท
* ต้องหาซื้อพัดลมระบายความร้อนซีพียูเพิ่มเอง
ข้อเสีย
* มีโอกาสที่คุณจะบังเอิญได้ชิ้นส่วนที่มีปัญหา ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ในระหว่างการขนส่ง
* ไม่มีพัดลมระบายความร้อนซีพียูแถมมาด้วย
* ระยะเวลาในการรับประกันส่วนใหญ่มักแค่เพียง 1 ปีเท่านั้น
แบบ Box เป็นซีพียูหรือชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ถูกนำเข้ามาอย่างถูกต้อง โดยแต่ละชิ้นจะบรรจุอยู่ภายในกล่องหรือบรรจุภัณฑ์ห่อหุ้มอย่างมิดชิด มีตราสัญลักษณ์บ่งบอกยี่ห้อ/รุ่นของผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจนและถ้าเป็นซีพียูแบบ Box จะมีพัดลมระบายความร้อนที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสมบรรจุภายในกล่องด้วยตั้งแต่โรงงานผลิตจนถึงมือของผู้ซื้อเลย
ข้อดี
* มั่นใจได้ว่าได้ชิ้นส่วนที่สมบูรณ์ เพราะมีความปลอดภัยในระหว่างขนส่ง
* มีพัดลมระบายความร้อนซีพียูแถมมาด้วย
* มีระยะเวลาในการับประกันยาวนานถึง 3 ปี
ข้อเสีย
* ราคาแพงกว่าแบบ Tray ประมาณ 400-600 บาท
การเลือกซื้อชุดระบายความร้อนให้กับซีพียู (CPU Fan & Heat Sink)
สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการเลือกซื้อชุดระบายความร้อนให้กับซีพียู ซึ่งประกอบด้วย พัดลมระบายความร้อน และฮีตซิงค์ ก็คือ วัสดุที่ใช้ฮิตซิงค์ การออกแบบครีมระบายความร้อน ความเร็วรอบในการหมุนของพัดลมซีพียู และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เป็นรูปแบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับซีพียู และซ็อคเก็ตแบบใด ซึ่งแต่ละแบบไม่เหมือนกัน
วัสดุที่ใช้ทำตัวฮิตซิงค์
อลูมิเนียม เป็นวัสดุระบายความร้อนได้เร็ว และสามารถขึ้นเป็นรูปครีบแบบต่างๆได้สะดวก ฮีตซิงค์ที่ผ่านมาส่วนมากจะทำมาจากอลูมิเนียมทั้งตัว ซึ่งก็มีอยู่หลายรุ่น หลายยี่ห้อ แต่ในปัจจุบันซิงค์แบบอลูมิเนียมทั้งตัวนี้ค่อยๆหมดความนิยมไป
ทองแดง เป็นวัสดุที่นำความร้อนได้ดีและเร็วกว่าอลูมิเนียม แต่ในทางตรงข้ามจะระบายความร้อนได้ช้ากว่า นอกจากนี้ยังมีราคาสูงและขึ้นรูปยาก ปัจจุบันจะเห็นฮีตซิงค์รุ่นใหม่ๆที่ทำมาจากทองแดงทั้งตัวอยู่หลายรุ่น หลายยี่ห้อราคาก็แตกต่างกันไปแล้วแต่การออกแบบ
อลูมิเนียมกับทองแดง เป็นการนำเอาข้อดีของทั้ง 2แบบมารวมกัน และออกแบบให้เหมาะสมกับการทำงานคือ ให้ส่วนที่เป็นทองแดงสัมผัสกับซีพียูเพื่อให้ดูดหรือถ่ายความร้อนจากซีพียูออกมาไว้ที่ทองแดงโดยเร็วก่อนที่จะถ่ายเทความร้อนส่งต่อให้ส่วนที่เป็นครีบอลูมิเนียมไประบายความร้อนออก โดยใช้พัดลมช่วยเป่า
การออกแบบครีบระบายความร้อน
การออกแบบครีบระบายความร้อนบนตัวฮีตซิงค์ก็มีความสำคัญเช่นกันคือ ต้องออกแบบให้ครีบมีลักษณะบาง เพื่อให้ระบายความร้อนได้เร็ว และจำนวนมาก เพื่อให้มีพื้นที่ผิวสัมผัสกับอากาศมาก ซึ่งจะทำให้สามารถระบายความร้อนออกจากตัวได้เร็วยิ่งขึ้น
ความเร็วรอบในการหมุน (rpm) ของพัดลมซีพียู
พัดลมซีพียูที่ขายอยู่ทั่วไปจะมีความเร็ว 1-3 พันรอบต่อนาที แต่ในบางรุ่นอาจจะมีความเร็วสูงถึง 6,000 รอบ ความเร็วรอบในการหมุนของพัดลมนั้นยิ่งมากก็ยิ่งระบายอากาศได้เร็ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับการออกแบบฮิตซิงค์ด้วย จากคุณสมบัติต่างๆ ที่กล่าวมา นอกเหนือจากการติดตามข่าวสาร การทดสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ และการสอบถามจากเพื่อนๆหรือคนที่รู้จักส่วนหนึ่งด้วย เพื่อนำมาประกอบกันเป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกซื้อชุดระบายความร้อนให้กับซีพียู
ถูกออกแบบมาเพื่อซ็อคเก็ตแบบใด
ก่อนตัดสินใจซื้อควรดูก่อนว่าซีพียูที่ใช้เป็นซีพียูอะไร ใช้กับซ็อคเก็ต เพราะแต่ละรุ่นถูกออกแบบมาให้ใช้กับซีพียูและซ็อคเก็ตนั้นๆโดยเฉพาะ ไม่เช่นนั้นจะใส่กันไม่ได้ แต่ซีพียูรุ่นใหม่ๆมักจะมีชุดระบายความร้อนมาด้วยซึ่งนอกจากจะถูกออกแบบมาอย่างเหมาะสม ยังช่วยให้ไม่ต้องลำบากไปเดินซื้อหาด้วย
การเลือกซื้อเมนบอร์ด (Main board)
เมนบอร์ด ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์หลักที่มีความสำคัญรองลงมาจากซีพียู ฉะนั้นนอกจากปัจจัยในเรื่องของราคาที่ผู้ซื้อจะต้องพิจารณาด้วยตัวเองแล้ว ข้อควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อเมนบอร์ดให้ได้เหมาะสมและคุ้มค่าตรงกับความต้องการนั้นมีอะไรบ้าง ซึ่งสรุปได้ดังนี้
เลือกรูปแบบหรือฟอร์มแฟกเตอร์ให้เหมาะสมกับเคส
ก่อนอื่นที่เราจะต้องทราบก่อนว่าคอมพิวเตอร์ที่เราจะใช้นั้นควรต้องใช้รูปแบบของตัวเครื่องหรือเคสในลักษณะใด ส่วนใหญ่เคสที่ใช้ก็มักจะเป็น Medium Tower ซึ่งใช้ได้กับเมนบอร์ดที่เป็นแบบ ATX และ Micro ATX แต่ถ้าใช้เคสที่เล็กกว่านี้ก็จะต้องใช้แค่ FlexATX และ MicroATX เท่านั้น
เลือกช่องสำหรับติดตั้งซีพียูบนเมนบอร์ด
ปัจจุบันซีพียูที่วางจำหน่ายอยู่ก็จะมีของ Intel และ AMD ซึ่งมีอยู่มากมายหลายรุ่นที่ต้องใช้กับช่องเสียบหรือช็อกเก็ตที่แตกต่างกัน แล้วเวลาที่เลือกซื้อเมนบอร์ดถ้าไม่ทราบว่าซีพียูนั้นเหมาะสมกับซ็อคเก็ตแบบใด ก็ให้สังเกตบนกล่องเมนบอร์ดว่าใช้กับซีพียูยี่ห้อใด รุ่นใด หรือสอบถามจากคนขายว่าเมนบอร์ดรุ่นนี้นำไปใช้กับซีพียูที่มีอยู่ได้หรือไม่
เลือกชิปเซ็ตที่เหมาะสมบนเมนบอร์ด
การเลือกชิปเซ็ตนั้นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะชิปเซ็ตมีผลต่อทุกสิ่งทุกอย่างของเมนบอร์ด เป็นตัวกำหนดว่าเมนบอร์ดนี้ใช้กับซีพียูชนิดใดได้บ้าง รองรับหน่วยความจำชนิดใด มีสล็อตประเภทใดบ้าง สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ประเภทใดบ้าง และมีขีดจำกัดในการขยายความสามารถมากน้อยเพียงใดด้วยเหตุนี้ชิปเซ็ตจึงเป็นหัวข้อหลักในการพิจารณาเลือกซื้อเมนบอร์ด
เลือกช่องสล็อตสำหรับติดตั้งหน่วยความจำ
หน่วยความจำแรมซึ่งต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับซีพียู เพื่อให้สามรถทำงานร่วมกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ประเภทของแรมที่จะนำมาใช้เป็นหน่วยความจำหลักบนเมนบอร์ดนั้นมีมากมาย แต่ที่กำลังเป็นที่นิยมกันมากที่สุดคือ DDR2-SDRAM ซึ่งแบ่งออกตามความเร็วและแบนด์วิดธ์ได้หลายรุ่น ส่วนรุ่นใหม่ที่จะใช้กันมากขึ้นเรื่อยๆก็คือ DDR3-SDRAM เมื่อทราบแล้วว่าจะใช้แรมประเภทใด ต่อมาก็คือ เลือกขนาดของหน่วยความจำที่เราจะใช้ นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ไม่ควรมองข้ามและควรศึกษาวิธีคิดไว้ นั่นก็คือ ความเร็วบัสของหน่วยความจำที่เหมาะสมกับซีพียูที่ใช้ ซึ่งจะอยู่ในหัวข้อการเลือกซื้อหน่วยความจำแรมที่อยู่ถัดไป
เลือกชนิดและจำนวนของช่องสล็อตบนเมนบอร์ด
ปกติแล้วบนเมนบอร์ดที่ใช้มาตรฐาน ATX ทั่วไปมักจะจำนวนช่องเสียบการ์ดหรือสล็อตที่ใกล้เคียงกัน จะแตกต่างกันบ้างก็เพียง 1-2 สล็อตเท่านั้น แต่สิ่งที่เห็นได้เด่นชัดสำหรับความแตกต่างบนเมนบอร์ดรุ่นใหม่คือ ชนิดของสล็อตที่นำมาใช้ ซึ่งแบ่งแยกเมนบอร์ดที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆคือ ใช้ระบบบัส PCI-Express ล้วนๆ กับแบบที่มีสล็อต PCI มาให้ใช้เสียบการ์ดเก่าได้ด้วย ซึ่งจะต้องเลือกเมนบอร์ดให้ถูกต้องตรงกันตั้งแต่แรก
เลือกช่องเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกหรือพอร์ตแบบต่างๆ
ในกรณีที่มีอุปกรณ์จำพวก การ์ดจอ การ์ดโมเด็ม ในรูปแบบของชิปบนเมนบอร์ด (On Board) อาจจะมีช่องต่อหรือพอร์ตนอกเหนือจากที่กล่าวมา เช่น พอร์ต D-Sub ที่ใช้ต่อกับจอภา พอร์ต TV-Out ที่ใช้ต่อกับทีวี และพอร์ตโมเด็ม (RJ-11) ที่ใช้ต่อกับสายโทรศัพท์ เป็นต้น
เลือกคุณสมบัติพิเศษอื่นๆเพิ่มเติม
นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วควรพิจารณาคุณสมบัติพิเศษอื่นๆด้วย ได้แก่ มีพอร์ตหรือขั้วต่อ SATA Connector บนเมนบอร์ดอย่างน้อย 2 ขั้ว เพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับฮาร์ดดิสก์แบบSATA หรือ Serial ATA และควรเลือก SATA2 และอาจจะมี RAID Controller สำหรับการเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์ในลักษณะ RAID เป็นต้น รวมทั้งควรคำนึงถึงการรับประกันด้วย ซึ่งเมนบอรดส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาในการรับประกัน 3 ปี
การเลือกซื้อหน่วยความจำ (RAM)
RAM เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง ซึ่งจะต้องใช้ความละเอียดรอบคอมในการเลือกซื้ออยู่พอสมควร เนื่องจาก RAM เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานร่วมกับซีพียูอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่างในการพิจารณาเลือกซื้อ เพื่อให้เหมาะสมสำหรับซีพียูและเมนบอร์ดที่ใช้ ซึ่งก็มีวางขายกันอยู่หลายยี่ห้อ เช่น Hitachi, Hyundai, Infineon, JetRAM, Micron, NCP, Lemel, Samsung, Kingmax และ Kingston เป็นต้น นอกเหนือจากนี้ยังควรพิจารณาคุณสมบัติต่าง ๆและข้อควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อ RAM เช่น ชนิดของ RAM ขนาดความจุของ RAM ความเร็วบัสของ RAM การรับประกัน เป็นต้น
การเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์ (Hard disk)
ปัจจุบันมีฮาร์ดดิสก์ขายกันอยู่มากมายหลายยี่ห้อ เช่น HITACHI, Samsung, Seagate และ Westem Digital เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นที่นิยมทั้งสิ้น ดังนั้นนอกจากปัจจัยในเรื่องของราคาและยี่ห้อแล้วนั้นคุณสมบัติและข้อควรพิจารณาในการเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์มีดังนี้
- ความจุข้อมูล การพิจารณาเลือกซื้อให้ดูที่ความเหมาะสมของงานที่เราจะนำไปใช้ เช่นทั่วไป ขนาดที่นิยมใช้กันคือ 160-320 GB
- ความเร็วรอบในการหมุน ความเร็วในการหมุนของดิสก์เป็นสิ่งที่มีผลกับความเร็วในการอ่านและบันทึกข้อมูลมากทีเดียว ฮาร์ดดิสก์ที่นิยมใช้กับโน้ตบุ๊คจะหมุนอยู่ที่ความเร็ว 4200 และ 5400 ส่วนฮาร์ดดิสก์สำหรับพีซีที่ใช้กันโดยทั่วไปจะหมุนอยู่ที่ความเร็ว 7200 รอบต่อนาที
- อินเตอร์เฟสของฮาร์ดดิสก์ อินเตอร์เฟสของฮาร์ดดิสก์ที่นิยมใช้กันมานาน จะเป็นแบบ ATA-100 และ ATA-133 แต่ในปัจจุบันเปลี่ยนไปใช้ Serial ATA หรือ SATA ซึ่งมีอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดถึง 150 MB/s และล่าสุดคือ SATA 2ที่มีความเร็วถึง 300 MB/s
- ขนาดของบัฟเฟอร์ เป็นหน่วยความจำขนาดเล็กที่ทำหน้าที่เป็นตัวพักข้อมูลก่อนที่จะมีการอ่านหรือเขียนข้อมูลลงไปในฮาร์ดดิสก์จริงๆ ดังนั้นยิ่งขนาดของบัฟเฟอร์มีมากเท่าไรก็ยิ่งดี แต่ราคาก็อาจจะพงตามไปด้วย โดยทั่วไปจะมีขนาดตั้งแต่ 2,8,16 MB
- การรับประกัน ฮาร์ดดิสก์ส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาในการรับประกันยาวนานถึง 5 ปี
การเลือกซื้อการ์ดแสดงผล (VGA Card)
ปัจจุบันการ์ดแสดงผลมีออกมาหลายรุ่น หลายยี่ห้อ หลายราคา และหลากหลายประสิทธิภาพแตกต่างกันไป ซึ่งผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จที่แท้จริงของเหล่าบรรดาการ์ดแสดงผลทั้งหลายนั้นก็คือ ผู้ผลิตชิปประมวลผลกราฟิกนั่นเอง ซึ่งมีอยู่แค่ 2 รายคือ nVidia ผู้ผลิต GeForce ที่หลายคนรู้จักกันดีกับ ATI (ที่ปัจจุบันเป็นของ AMD) ผู้ผลิตชิปตระกูล Radeon ที่เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ nVidia นั่นเอง คุณสมบัติต่างๆ และข้อควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อการ์ดแสดงผล เช่น
- ชิปประมวลกราฟิก เป็นส่วนสำคัญทีควรพิจารณาเป็นอันดับแรก ซึ่งก็ดูที่การนำไปใช้งาน เช่น ถ้าใช้งานทั่วไปก็ใช้ชิปของ nVidia รุ่น GeForce FX 7200 หรือ ATI รุ่น Radeon X1300 ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้านำเอาไปใช้ในงานอื่นๆ ก็อาจต้องใช้ชิปรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงกว่านี้ ซึ่งราคาก็แพงขึ้นตามไปด้วย
- อินเตอร์เฟสของการ์ด เนื่องจากเมนบอร์ดใหม่ๆใช้บัสแบบ PCI Express กันหมดแล้ว จึงต้องใช้การ์ดแบบ PCI Express x16 ด้วย
- ชนิดและขนาดของหน่วยความจำบนตัวการ์ด หน่วยความจำบนตัวการ์ดแสดงผล ส่วนใหญ่ใช้อยู่ 2 ชนิด คือ DDR II ซึ่งเป็นการ์ดแสดงผลในระดับราคาไม่แพงจนถึงปานกลาง และ DDR III เป็นการ์ดแสดงผลประสิทธิภาพสูงที่มีราคาแพง
- พอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ ในที่นี้หมายถึงช่องต่อต่าง ๆที่มีมาให้แสดงผล เช่น พอร์ต D-Sub ที่ใช้ส่งสัญญาณแบบอนาล็อกไปยังจอภาพ,พอร์ต DVI ที่ใช้ส่งสัญญาณแบบดิจิตอลล้วนๆไปยังจอภาพ เป็นต้น
- มาตรฐานของ API ที่รองรับ การ์ดแสดงผลที่รองรับกับซอต์ฟแวร์มาตรฐานสำหรับงาน 3 มิติ เพราะมีแนวโน้มว่าซอต์ฟแวร์อาทิเช่น เกมส์ใหม่ๆ จะมีความต้องการ API ระดับนี้เพิ่มมากขึ้น
การเลือกซื้อการ์ดเสียง (Sound Card)
การพิจารณาเลือกซื้อนอกเหนือจากเรื่องของยี่ห้อและราคาแล้วก็ควรจะต้องคำนึงถึงปัจจัยและคุณสมบัติต่างๆ ซึ่งสิ่งที่ควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อมีดังนี้
- รูปแบบของการ์ดเสียง โดยทั่วไปมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ แบบออนบอร์ด ซึ่งอยู่ในรูปแบบของชิปเสียงบนเมนบอร์ด กับการ์ดเสียงแบบเป็นตัวการ์ดที่มีอินเตอร์เฟสเป็นแบบ PCI ซึ่งต้องซื้อมาติดตั้งเพิ่ม ใช้เสียบในสล็อต PCI บนเมนบอร์ด
- ลักษณะงานที่จะนำไปใช้ ความเหมาะสมกับงานที่จะนำไปใช้เป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งจำแนกออกเป็นกลุ่มดังนี้
*ใช้ดูหนังฟังเพลง โดยใช้ร่วมกันกับลำโพง 2 ตัว แยกซ้าย-ขวาธรรมดา ก็อาจใช้เพียง Sound Onboard มาตรฐาน AC’97 บนเมนบอร์ดราคาถูกก็ได้
* ใช้ดูหนังฟังเพลงในระดับโฮมเธียร์เตอร์หรือเล่นเกมส์แบบจริงจังที่ต้องการคุณภาพเสียงในระบบเซอร์ราวด์รอบทิศทางตั้งแต่ 2.1 CH ขึ้นไปควบคู่กันกับชุดลำโพงคุณภาพดีชิปที่ใช้ควรจะเป็นมาตรฐาน Intel High Definition Audio ที่มาพร้อมกับชิปเซ็ตในตระกูล i9xx P35 หรือ P45
*จะนำไปใช้เฉพาะงานก็คงต้องพึ่งพาการ์ดเสียงคุณภาพสุดยอดอย่าง Creative SB Audigy 4 Pro หรือ Creative SB Audigy 2 ZS Platinum Pro และล่าสุดกับการ์ดเสียงในตระกูล X-Fi ก็ดูจะเหมาะสมที่สุด
การเลือกซื้อลำโพง (Speaker)
หลักสำคัญในการพิจารณาเลือกซื้อลำโพงมีดังนี้
- รูปแบบของลำโพง ควรพิจารณาตามความเหมาะสมกับลักษณะของงานที่จะนำไปใช้ ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็นกลุ่ม ๆ ดังนี้
* ชุดลำโพงมัลติมีเดียสำหรับคอมพิวเตอร์ทั่วไป เป็นระบบสเตอริโอแยกลำโพงซ้าย/ขวา 2 ข้างลำโพงระดับนี้ถ้าคุณภาพทั่วไปจะมีราคาคู่ละประมาณ 2-3 ร้อยบาทเท่านั้น แต่ถ้ายี่ห้อดีหน่อย ราคาก็จะสูงเกือบๆ 1,000 บาทเลยทีเดียว
* ชุดลำโพงพร้อมซับวูฟเฟอร์ เป็นลำโพงแบบ 3 ชุด ปัจจุบันมีราคาตั้งแต่ 1,000-6,000 บาท ซึ่งชุดลำโพงแบบนี้ถือว่าให้คุณภาพเสียงที่ดีเยี่ยมแล้ว
* ลำโพงมัลติมีเดียแบบดิจิตอล เป็นลำโพงที่รับสัญญาณดิจิตอลจากเครื่องพีซีเข้าทางพอร์ต USB และขยายสัญญาณเสียงให้ดังออกลำโพงโดยตรง
* ชุดลำโพงระบบเสียงรอบทิศทาง เป็นชุดลำโพงชุดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยลำโพงตั้งแต่ 5-8 จุด ราคาก็มีตั้งแต่ 10,000-30,000 บาท กับประเภทที่ไม่มีตัวถอดรหัส ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่คอเกมส์ที่ชื่นชอบอรรถรสในการเล่นเกมส์แบบสมจริงสมจัง ราคาก็มีตั้งแต่ 3,000-9,000 บาท
- กำลังขับหรือกำลังขยายเสียงของลำโพง ค่า RMS (Root Means Square) สำหรับมาตรฐานที่ใช้ในวงการอุตสาหกรรมเครื่องเสียงเป็นค่าที่ได้มาจากการเฉลี่ยกำลังงานหรือกำลังขยายเสียงของลำโพงที่มีภาคขยายในตัว ยิ่งกำลังวัตต์มาก ก็ยิ่งให้เสียงที่ดังกระหึ่มมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
การเลือกซื้อไดร์วซีดีรอม และไดร์วดีวีดี
หลักสำคัญในการเลือกซื้อไดร์วดีวีดีอาร์ดับบลิวมีดังนี้
- ความเร็ว ความเร็วในการเขียนข้อมูลลงบนแผ่น CD และ DVD ซึ่งมีมาตรฐาน –Rและ +Rปัจจุบันความเร็วในการเขียนแผ่น DVD-R/DVD+R สูงสุดอยู่ที่ 20x/20x ความเร็วในการเขียนแผ่น DVD-RW/DVD+RW สูงสุดอยู่ที่ 6x/8x และมีความเร็วในการอ่านแผ่น DVD สูงสุดอยู่ที่ 20x
- ขนาดของบัฟเฟอร์ ใช้สำหรับพักข้อมูลในการเขียนและอ่าน ดังนั้นยิ่งขนาดของบัฟเฟอร์ใหญ่มากเท่าไรก็ยิ่งดี ซึ่งโดยทั่วไปจะมีขนาด 2MB
- คุณสมบัติ Dual Format ปัจจุบันควรมีคุณสมบัติ Dual Format คือ สามารถเขียนแผ่น DVD ได้ทั้งมาตรฐาน –R และ +R
- คุณสมบัติ Dual Layer หรือ Double Layer ปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีคุณสมบัติในการเขียนแผนความจุสูงอย่างแผ่น DVD+R9 ซึ่งมีความจุมากถึง 8.5 GB ซึ่งเพิ่มขึ้นมาเกือบเท่าตัว
- เทคโนโลยีที่ช่วยในการเขียนแผ่น ช่วยลดปัญหาในการเขียนแผ่น CD ก็มักจะอยู่ในไดร์วดีวีดีอาร์ดับบลิวทุกตัว
การเลือกซื้อจอภาพ
จอภาและจอแสดงผล เป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่เราจะต้องติดต่อหือเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลาผ่านดวงตาที่มีอยู่เพียงคู่เดียวของเรา ดังนั้นในการเสือกใช้จอภาพให้เหมาะสมกับงานและสุขภาพของดวงตาก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำควบคู่กันไปด้วย หลักสำคัญในการพิจารณาเลือกซื้อจอภาพให้เกิดความคุ้มค่าและเหมาะสมมีดังนี้
ชนิดของจอภาพ จอภาพแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ CRT กับ LCD
* จอภาพแบบ CRT (Cathode Ray Tube) เป็นจอภาพที่มีรูปทรงใหญ่โต ภายในบรรจุหลอดภาพแบบCRT แบบที่ใช้กับทีวี ปัจจุบันมีราคาถูกมากเพราะไม่เป็นที่นิยม
* จอภาพแบบ LCD (Liquid Crystal Display) เป็นจอภาพที่มีรูปร่างยาง น้ำหนักเบา และหน้าจอแบนราบ ข้อดีของจอชนิดนี้คือไม่ทำให้สายตาเมื่อยล้าเมื่อจ้องมองเป็นเวลานาน ๆ แต่ข้อเสียก็คือ ให้ความสว่างของหน้าจอน้อยกว่าจอแบบ CRT ให้ความละเอียดสูงสุดที่ค่าใดค่าหนึ่งเท่านั้น ต้องระวังในการดูแลรักษา เพราะหน้าจอเกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย
- ขนาดของจอภาพ ปัจจุบันนิยมใช้จอภาพแบบLCD 17 หรือ 19 นิ้วด้วยความละเอียดสูงสุดที่ 1280x1024 ขึ้นไปหรือ Wide Screen 19-22 นิ้ว
- ความละเอียดของการแสดงผล (Resolution) สำหรับจอภาพแบบ CRT ควรแสดงได้ดีที่ 1024x768 Pixels ขึ้นไปจนถึงความละเอียดสูงสุดที่ 1280x1024 ส่วนจอภาพแบบ LCD ถ้าเป็น 15 นิ้วค่าความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ 1024x768 Pixels ส่วนจอขนาด 17 และ 19 นิ้ว จะมีความละเอียดที่เหมาะสมอยู่ที่ 1280x1024 Pixels
- อัตราการีเฟรช (Refresh Rate) สำหรับจอภาพแบบ CRT ควรมีค่า Refresh Rate ตั้งแต่ 75 Hz ขึ้นไป ถ้ามีค่า Refresh Rate ต่ำจะทำให้จอภาพกะพริบอยู่ตลอดเวลา มีผลทำให้ปวดตาเมื่อยล้าและอาจปวดหัวได้ ส่วนจอภาพแบบ LCD ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงค่านี้ เนื่องจากไม่มีการสร้างภาพใหม่ซ้ำๆเหมือนกับจอCRT
- ระยะ Dot Pitch สำหรับจอภาพแบบCRT ควรมีค่าต่ำกว่า 0.28 มิลลิเมตร ซึ่งถ้ายิ่งเล็กเท่าไรภาพที่ได้ก็ยิ่งละเอียดมากขึ้น ส่วนจอภาพแบบ LCD ควรมีค่าระยะ Dot Pitch ตั้งแต่0.297 มิลลิเมตร ลงมา
- ความสว่างบนจอภาพ (Brightness) ทั้งจอภาพแบบ CRT และแบบ LCD ควรมีค่าความสว่างสูงสุดที่สามารถแสดงผลบนหน้าจอมากกว่า 150 ลุเมนต่อตารางเมตร (cd/m2) ขึ้นไป
- อัตราส่วนของความคมชัดของภาพ (Contrast Ratio) สำหรับจอภาพแบบ CRT ควรมีอัตราความคมชัดไม่น้อยกว่า 400:1 ส่วนจอภาพแบบ LCD ควรมีอัตราความคมชัดไม่น้อยกว่า 300:1 โดยค่านี้ยิ่งมากยิ่งทำให้ภาพที่ชัดเจนมากขึ้นด้วย
- ขอบเขตของมุมมองในการมองภาพ (Viewing Angle) จอ LCD ใหม่ๆ จะมีมุมมองภาพมากกว่า 170 องศา ซึ่งทำให้ไม่มีขีดจำกัดเรื่องมุมมองอีกต่อไป
การเลือกซื้อการ์ดแลน (LAN Card)
การพิจารณาเลือกซื้อการ์ด LAN เพื่อนำมาเชื่อมต่อกับเครื่องอื่น ๆ ในระบบเครือข่ายนั้น นอกเหนือจากเรื่องของยี่ห้อและราคาแล้วสิ่งที่ควรจะต้องคำนึงถึงมีดังนี้
- รูปแบบของการ์ด LAN โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็น 2 แบบดังนี้
* แบบออนบอร์ด (LAN Onboard) อยู่ในรูปชิปเน็ตเวิร์ก ซึ่งติดตั้งอยู่แล้วบนเมนบอร์ด โดยส่วนใหญ่มักจะมีมาให้ จะแตกต่างกันก็เพียงแต่ว่าสนับสนุนอัตราความเร็วสูงสุดที่เท่าใด
* แบบการ์ด LAN ที่มีอินเตอร์เฟสเป็นแบบ PCI ซึ่งต้องหามาติดตั้งต่างหาก โดยการเสียบลงในสล็อต PCI บนเมนบอร์ด
- อัตราความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลและความเหมาะสมกับลักษณะของงานที่จะนำไปใช้
ถ้าใช้งานตามบ้านเพื่อพ่วงคอมพิวเตอร์ 2-3 ตัวเข้าด้วยกันหรือในสำนักงานขนาดเล็ก ควรใช้การ์ด LAN และ HUB ที่สนับสนุนอัตราความเร็วที่ 10/100 Mbps ขนาดไม่เกิน 16 พอร์ตก็พอแล้ว แต่ถ้าต้องการใช้ระบบเครือข่ายที่ใหญ่และรองรับปริมาณในการรับส่งข้อมูลจำนวนมากๆได้อย่างรวดเร็ว การ์ด LAN แบบ Gigabit และ HUB ที่สนับสนุนอัตราความเร็วที่ 10/100/1000 Mbps กับ HUB ขนาดตั้งแต่ 16 พอร์ตขึ้นไปก็น่าจะเหมาะสมกว่า
การเลือกซื้อการ์ด Wireless LAN และ Access Point
เครือข่ายแบบไร้สายหรือ Wireless LAN(เรียกสั้นๆว่า WLAN) เป็นเครือข่ายที่อาศัยคลื่นวิทยุ (Radio Frequency) ในการรับส่งข้อมูล โดยเครื่องที่ติดตั้งการ์ด Wireless LAN ไว้จะรับส่งข้อมูลกับตัวรับหรือที่เรียกว่า Access Point ที่ต่อด้วยสาย LAN ธรรมดาเข้ากับเครื่องอื่น ๆอีกทอดหนึ่ง ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดคือไม่ต้องเดินสายให้ยุ่งยากเกะกะ ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในบ้านหรือที่ซึ่งไม่สะดวกในการเดินสายและที่ๆไม่มีปัญหาเรื่องการรบกวนของสัญญาณวิทยุมากนัก ดังนั้นการพิจารณาคุณสมบัติและข้อควรคำนึงในการเลือกซื้อการ์ด Wireless LAN และ Access Point ดังนี้
- มาตรฐานและอัตราความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลที่ใช้ มาตรฐานที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายอยู่ในปัจจุบันก็คือ IEEE 802.11g และมาตรฐานใหม่คือ IEEE 802.11n ซึ่งมีอัตราความเร็วสูงกว่า 802.11g ถึง 5 เท่า
การเลือกซื้อ Modem ADSL/ADSL Router/ADSL Wireless Router
ในส่วนของการเลือกซื้อ ควรพิจารณาก่อนว่าจะมีโอกาสได้ใช้ Wireless LANหรือไม่ ถ้ามีความเป็นไปได้ ก็ควรซื้อแบบที่มี Wireless ไปเลย เพราะเพิ่มค่าใช้จ่ายไม่มากนัก และไม่จำเป็นต้องหาซื้อ Access point มาต่อเพิ่มในภายหลัง ซึ่งในการเลือกก็ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับการเลือก Access Point การพิจารณาคุณสมบัติต่าง ๆและ ข้อควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อโมเด็ม มีดังนี้
- รูปแบบของ Modem โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ
* โมเด็มแบบติดตั้งภายในเครื่อง (Internal) เป็นแบบการ์ดที่ใช้กับสล็อต PCI ข้อดีของโมเด็มแบบนี้คือ ราคาถูก ไม่เกะกะพื้นที่ ส่วนข้อเสียคือ ติดตั้งลำบาก เพราะจำเป็นต้องเปิดฝาเคสออกมาและไม่มีไฟแสดงสถานะในการทำงาน
* โมเด็มแยกติดตั้งภายนอกตัวเครื่อง (External) จะมีลักษณะเป็นกล่องเล็กๆ วางอยู่ภายนอกเครื่อง ข้อดีของโมเด็มแบบนี้คือ ติดตั้งได้งาย โดยไม่ต้องเปิดฝาเคส และที่ตัวโมเด็มจะมีหลอดไฟ LED กะพริบบอกสถานการณ์ทำงาน ส่วนข้อเสียก็คือ มีราคาแพงและเกะกะพื้นที่
- มาตรฐานความเร็วที่ใช้ มาตรฐานล่าสุดที่ใช้กันสำหรับ Ana log Modem คือ V.92 ซึ่งมีอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุกที่ 56 Kbps/33.6 Kbps ส่วน ADSL Modem คือ ADSL2 ซึ่งมีอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดที่ 8 Mbps/1Mbps
การเลือกซื้อเคส และเพาเวอร์ซัพพลาย (Case & Power Supply)
การเลือกซื้อตัวเครื่องเคส (Case)
- พยายามเลือกเคสที่ภายในดูโปร่ง กว้าง และสามารถถ่ายเทอากาศได้ดี มีช่องที่เอาไว้ติดตั้งพัดลมเพิ่มเติมภายหลังได้
- มีการออกแบบฝาเคสที่สามารถปิด/เปิดได้ง่าย
- เพื่อให้สะดวกในการประกบเครื่อง แท่นรองเมนบอร์ดภายในเคสควรถอดออกได้
- ช่องเสียบอุปกรณ์จำพวกไดร์วต่างๆ ควรออกแบบมาอย่างดี
- ฝาเคสด้านหน้าอาจจะปิด/เปิดได้ เพื่อความเรียบร้อย สวยงาม และความสะอาด
- มีพอร์ตต่างๆ เพิ่มเติมมาให้ด้านหน้าหรือด้านข้างของตัวเคส เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
- Power Supply ที่ติดตั้งมาด้วยควรมีกำลังไฟที่เพียงพอ
- ตัวเครื่องภายนอกอาจจะออกแบบมาให้มีจับเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้าย
- พยายามเลือกเคสที่ใช้วัสดุที่ทำมาจากพลาสติก และมีโครงสร้างภายในที่แข็งแรง
เลือกซื้อแหล่งจ่ายไฟหรือเพาเวอร์ซัพพลาย (Power Supply)
- เลือก Power Supply ที่ถูกต้องกับชนิด และความต้องการของเมนบอร์ด
- ถ้าเมนบอร์ดที่ใช้มีขั้วต่อแหล่งจ่ายไฟเป็น 24 พิน ก็ควรเลือกใช้ Power Supply รุ่มใหม่ที่มีแหล่งจ่ายไฟแบบ 24 พิน
- ถ้าเมนบอร์ดที่ใช้มีขั้วต่อ Serial ATA ก็ควรเลือกใช้ Power Supply ที่มีหัวต่อสำหรับจ่ายไฟเลี้ยงให้กับฮาร์ดดิสก์ด้วย
- ในการเลือกซื้อ ให้พิจารณากำลังไฟ (วัตต์) จากจำนวนอุปกรณ์ต่าง ๆดังนั้นจึงแนะนำรุ่นที่ให้กำลังไฟตั้งแต่ 350 วัตต์ ขึ้นไป
การเลือกซื้อ USP
การเลือกซื้อ UPS จะมีในเรื่องของขนาด ซึ่งจะต้องสัมพันธ์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ ซึ่งโดยทั่วไปควรจะอยู่ที่ประมาณ 500-800 VA กับประเภทของ UPS ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้แบบ Line Interactive UPS ที่มีราคาถูกและเพียงพอสำหรับระบบไฟฟ้าที่ค่อนข้างเสถียร แต่หากใช้งานคอมพิวเตอร์ในพื้นที่ที่มีระบบไฟฟ้ามีปัญหาบ่อย หรือระดับแรงดันไม่ค่อยคงที่ ควรเลือกใช้ประเภท True-Online และจ่ายไฟได้อย่างน้อย 1KVA โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใช้งานกับเครื่องที่ทำหน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์
การเลือกซื้อเครื่องพรินเตอร์ (Printer)
หลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อเครื่องพรินเตอร์มีดังนี้
- ประเภทของเครื่องพรินเตอร์และความเหมาะสมกับลักษณะของงานที่จะนำไปใช้ พรินเตอร์ในปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภทหลัก ๆ คือ
* เครื่องพิมพ์แบบหัวเข็ม (Dot Matrix) เหมาะสำหรับงานพิมพ์ขาว-ดำ ที่ต้องการสำเนาด้วยเสมอ
* เครื่องพิมพ์แบบหัวพ่นหมึก (Ink Jet ) นิยมกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากราคาถูก ใช้พิมพ์งานสีได้ดีและพิมพ์งานขาวดำธรรมดาได้รวดเร็วและสวยงาม เหมาะกับงานพิมพ์ที่ต้องการคุณภาพ
* เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ (Laser) เริ่มใช้กันมากขึ้นเพราะราคาถูกลงมาก เหมาะกับงานคุณภาพที่ไม่ต้องพิมพ์สำเนา
* เครื่องพิมพ์เลเซอร์สี (Color Laser ) ภาพที่ได้จากเครื่องพิมพ์ประเภทนี้จะมีสีสันสดใสเหมาะกับงานทั่วไป และมีความเร็วในการพิมพ์สูง
* เครื่องพิมพ์แบบมัลติฟังก์ชั่น ( Multifunction Printer ) กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ผู้ใช้งานตามบ้านและสำนักงาน ที่ต้องการเครื่องที่เป็นทุกอย่างในเครื่องเดียว ทั้งการพิมพ์ การสแกน การถ่ายเอกสาร และการรับ-ส่งแฟกซ์ ช่วยลดต้นทุนในการจัดหาเครื่องไม้เครื่องมือทีละอย่าง
การเลือกซื้อเครื่องสแกนเนอร์ (Scanner)
สแกนเนอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการ อ่าน หรือ Scan คือ ถ่ายภาพจากกระดาษหรือวัตถุแบน ๆ เข้าไปในเครื่อง โดยใช้แสงส่องกระทบวัตถุให้สะท้อนไปตกบนตัวรับแสงทีละแถว หลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อเครื่องสแกนเนอร์มีดังนี้
- ความละเอียดในการสแกนภาพ ความละเอียดและจำนวนสีของสแกนเนอร์นั้น จะเริ่มต้นที่ 300x600 จุด ต่อตารางนิ้ว และรุ่นใหม่จะให้ความละเอียดได้มากถึง 1,200 x2,400 จุดต่อตารางนิ้ว และแยกสีได้มากถึง 48 บิตเลยทีเดียว
ที่มา :อนิรุกธิ์ รัชตะวราห์,ภาสกร พาเจริญ หนังสือคู่มือช่างคอม 2009 พิมพ์โดย :บริษัท โปรวิชั่น จำกัด 408/75 ชั้น 17 อาคารพหลโยธินเพลส ถ.พหลโยธิน สามาเสนใน พญาไท กรุงเทพ 10400